2 นศ.ม.รังสิต แนะเรียน “แพทย์แผนจีน” ไม่ยากอย่างที่คิด

แพทย์แผนจีน เป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพ อีกทั้งศาสตร์นี้ยังสามารถใช้ในการรักษาร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบันได้อีกด้วย วันนี้เรามี 2 หนุ่มนักศึกษาแพทย์แผนจีนจากวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต จะพาไปรู้จักกับ “แพทย์แผนจีน” ให้มากขึ้น

            นพจ.ปรมินทร์ เจริญวนันท์ นักศึกษาชั้นปีที่ 5  หลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต พูดถึงจุดเริ่มต้นของการเรียนแพทย์แผนจีนว่า โดยส่วนตัวมีความสนใจทางด้านนี้อยู่แล้ว ทางบ้านช่วยหาข้อมูลจนมาเจอศาสตร์หนึ่ง ซึ่งก็คือแพทย์แผนจีน เลยลองศึกษาดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงตัดสินใจที่จะเข้ามาเรียนที่ม.รังสิต ครับ จากเดิมผมมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแพทย์แผนจีนมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รู้ลึกว่าเขามีระบบการตรวจ การรักษาอย่างไร

“สำหรับแพทย์แผนจีนเรียนเกี่ยวกับการฝังเข็ม รมยา การนวดทุยหนา การใช้กัวซา การครอบแก้ว ประมาณนี้ครับ หลักๆ แล้วการรักษาของแพทย์แผนจีนจะเป็นการปรับให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ในกรณีที่ร่างกายเราร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไป ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดีขึ้น ทำให้อาการดีขึ้นครับ ที่เรียนมาผมชอบวิชาฝังเข็มที่สุด การฝังเข็มจะมีหลายแบบที่ชอบเพราะว่ามันแตกแขนงออกไปได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการฝังเข็มเพื่อรักษาโรค ทำให้สุขภาพดี หรือการฝังเข็มเพื่อความสวยความงาม”

เมื่อพูดถึงจุดเด่นของแพทย์แผนจีนเขาเล่าว่า แพทย์แผนจีนจะมีการมองโรคทุกโรคแบบองค์รวม แล้วเราจะรักษาโดยการมองไปที่ต้นเหตุของอาการนั้นๆ เป็นศาสตร์แพทย์ทางเลือกแขนงหนึ่ง ให้ผู้รับการรักษาได้มีโอกาสเลือก หากการรักษาในรูปแบบนี้ไม่ได้ผล เราก็สามารถเปลี่ยนไปรักษาศาสตร์อื่นได้

         

   ด้าน นพจ.นันทวัฒน์ ชาติสมบูรณ์ชัย นักศึกษาชั้นปีที่ 5  หลักสูตรการแพทย์แผนจีนบัณฑิต วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกเรียนแพทย์แผนจีนว่า ในขณะนั้นหลักสูตรแพทย์แผนจีนเพิ่งเปิดใหม่ที่ม.รังสิต โดยตัวเองเริ่มจากศูนย์ไม่รู้อะไรเลย แต่ก็ค่อยๆ ศึกษาไป พอเริ่มเรียนมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกชอบ เพราะว่าได้ลงมือปฏิบัติจริง

“ช่วงแรกๆ จะเรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติควบคู่กันไปครับ โดยปีที่ 3 จะเริ่มปฏิบัติมากขึ้น เรียนแล้วก็รู้สึกสนุกครับ มีอะไรให้ตื่นเต้นตลอดเวลา แพทย์แผนจีน เป็นการรักษาแบบองค์รวม จุดสำคัญคือ การปรับสมดุลของร่างการ การทำงานของอวัยวะ ที่สำคัญก็คือไม่มีการใช้สารเคมี แต่จะเน้นไปโรคเรื้อรังที่แผนปัจจุบันรักษาไม่ค่อยหาย”

เมื่อพูดถึงเคสในการรักษาเขาเล่าว่า ส่วนใหญ่จะเป็นการมาช่วยเป็นลูกมืออาจารย์ที่คลินิก อาจารย์จะคอยบอกว่าต้องทำอย่างไร ถ้ามีเวลาว่างจากการเรียน การสอบ ก็จะมาช่วยบ่อยๆ ครับ อย่างการฝังเข็มที่บางจุดไม่ได้อันตราย อาจารย์ก็จะให้ลองทำเลย อย่างเช่น การครอบแก้ว การจัดกระดูก โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของอาจารย์ครับ นอกจากนั้นก็จะมียาจีน ทั้งแบบกินและแบบทา ที่สำคัญคือที่มหาวิทยาลัยเรามีโรงงานสมุนไพรจีนด้วย

ฟีดแบ็คจากคนไข้ดีครับ บางคนคือแค่มาครั้งเดียวก็หายเลย เห็นผลได้จริงๆ ขอยกตัวอย่างเคสที่เป็นอัมพฤกษ์ แล้วเข้ามารักษาที่นี่ ผมได้มีโอกาสไปดูการรักษาของอาจารย์ จากตอนแรกฝังเข็มจุดเดิมไม่รู้สึกอะไรเลย จนมารักษาติดต่อกันหลายอาทิตย์ พอฝังเข็มจุดเดิมเริ่มมีความรู้สึก แล้วเขาก็หายเป็นปกติ ตอนแรกนั่งรถเข็นมา แต่ตอนนี้เดินได้แล้วครับ เลยยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากครับ

สำหรับเคสที่ประทับใจคือ มีเคสหนึ่งตอนเรียนทุยหนา เขากระดูกสันหลังไม่ตรงกัน แล้วมีอาจารย์จากประเทศจีนที่จบปริญญาเอกด้านนี้ มาจัดกระดูกให้จากกระดูกสันหลังที่เบี้ยวไป 1-2 ซม. ก็กลับมาเป็นปกติ ผมเคยถามแพทย์แผนปัจจุบันเขาบอกว่าลักษณะกระดูกอย่างนี้อาจจะต้องผ่าตัด ซึ่งต้องอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากครับ

อย่างไรก็ตาม นอกจากการเรียนทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติที่นี่แล้ว ยังได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย

“ผมเป็นรุ่นที่ 2 ของแพทย์แผนจีน ที่ได้ไปเรียนที่ประเทศจีน 1 ปี ในช่วงที่เรียนปี 2 เพื่อให้เราคุ้นเคยกับภาษาและศัพท์แพทย์จีน เมื่อขึ้นปี 5 ก็จะไปฝึกงานที่มหาวิทยาลัยการแพทย์หนานจิง (Nanjing University of Chinese Medicine) สาธารณรัฐประชาชนจีน ผมคิดว่า ถ้าเรารู้ทฤษฎีแน่น พอไปปฎิบัติเราก็จะสนุกกับมันครับ”

สุดท้ายฝากถึงคนที่สนใจศาสตร์นี้ไว้ด้วยว่า แนะนำอย่างแรกคือ ต้องอดทน และก็มุ่งมั่น วิชาจริงๆ นั้นไม่ได้ยาก แต่เน้นในเรื่องของการท่องจำหนังสือในส่วนของทฤษฎี ที่อยากแนะนำอีกอย่างคือ อยากให้มีพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาจีนมาก่อน หรือถ้าไม่มีปี 2 ก็ไปเก็บเกี่ยวความรู้ที่จีนครับ หลังจากกลับมาได้อะไรเยอะมาก ทั้งประสบกาณ์ ภาษา และวัฒนธรรมครับ