11 ประเทศที่การศึกษาดีที่สุดในโลก
การจัดอันดับการศึกษาของ 11 ประเทศถูกจัดขึ้นโดยเว็บไซต์ Business Insider ได้จัดอันดับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีที่สุดมาทั้งหมด 11 อันดับ เรามาดูกันว่ามีประเทศไหนกันบ้าง แล้วทำไมถึงจัดว่าเป็นประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ดีสุดในโลก
อันดับ 11 ประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีหัวทางความคิด การพัฒนาด้านต่าง ๆ ในประเทศก็โดดเด่น รวมถึงระบบเรื่องการศึกษาของประเทศญี่ปุ่นที่ถูกยกย่องเป็นอย่างมาก
- ประเทศญี่ปุ่นไม่มีการสอบใด ๆ เลยจนกว่าจะถึงชั้นเกรด 4 (อายุประมาณ 10 ขวบ) เพราะในช่วง 3 ปีแรกยังไม่ควรมอบความรู้ที่หนักเกินไปให้กับเด็ก แต่สอนให้เด็กรู้จักเคารพผู้อื่น เป็นมิตร และรู้จักรับผิดชอบในตนเอง และยังสอนให้รู้จักกับความยุติธรรมอีกด้วย
- นักเรียนทุกคนจะเรียนจนจบระดับประถม 6 ปี และอีก 6 ปี ในระดับมัธยมตอนต้นและตอนปลาย จะไม่มีการบังคับให้ต้องเรียนในระดับมัธยม แต่ปรากฏว่า นักเรียนเกือบ 98% ก็เลือกที่จะเรียนต่อในระดับมัธยม
อันดับที่ 10 ประเทศบาร์เบโดส
รัฐบาลของประเทศบาร์เบโดสให้ความสำคัญกับด้านการศึกษามาก ๆ จึงได้ทุ่มเงินให้ระบบการศึกษาเป็นจำนวนมาก จากสถิติถือว่าเป็นประเทศที่ทุ่มเงินในระบบการศึกษาสูงสุดเลยก็ว่าได้ โดยนักเรียนจะเรียนในระดับประถมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ถึง 11 ขวบ และระดับมัธยมจากอายุ 11 ขวบจนถึง 18 ปี และโรงเรียนประเทศบาร์เบโดสส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐบาล
อันดับ 9 ประเทศนิวซีแลนด์
ในระบบการศึกษาของประเทศนิวซีแลนด์มีการเปิดโอการให้นักเรียนได้ใช้ความคิดอย่างเสรีและสร้างสรรค์ นักเรียนในประเทศนิวซีแลนด์จะได้รับการสนับสนุนให้นักเรียนได้รู้จักแก้ปัญหาและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
- เด็ก ๆ ในประเทศจะได้รับการเข้าศึกษาในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไปจนถึง 19ปี และช่วงอายุที่บังคับเรียนจะอยู่ในระหว่าง 6 ขวบ ถึง 16 ปี
- โรงเรียนประเทศนิวซีแลนด์มี 3 ประเภท คือ โรงเรียนรัฐบาลซึ่งเด็กเข้าศึกษากว่า 85% เข้ารับการศึกษา โรงเรียนกึ่งรัฐบาลมีเด็กเข้าศึกษา 12 % (เป็นโรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาล) และ โรงเรียนเอกชนมีเด็กเข้าศึกษา 3 %
อันดับ 8 ประเทศเอสโตเนีย
สถิติของปี 2558 ได้จัดงบประมาณ 812.7 ล้านยูโร ซึ่งเป็น 4% ของ GDP ภายในประเทศของเอสโตเนียได้มีการลงทุนในระบบการศึกษา โดยพระราชบัญญัติการศึกษาของประเทศเอสโตเนีย ระบุว่าเป้าหมายของการศึกษาไว้ว่า “ให้สนับสนุนการสร้างเงื่อนไขอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาครอบครัว และพัฒนาประเทศชาติ เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และชีวิตความเป็นอยู่ในเอสโตเนีย รวมทั้งเพื่อสอนคุณค่าการเป็นพลเมืองที่ดีและปลูกฝังการเรียนรู้ตลอดชีวิตให้กับคนทั้งประเทศ”
- ระบบการศึกษาภาคบังคับขั้นพื้นฐานในเอสโตเนียรวม 9 ปี จำเป็นต้องเข้าเรียนในโรงเรียน มีการอนุญาตให้ทำโฮมสคูลได้ แต่หาได้ยาก
อันดับ 7 ประเทศไอร์แลนด์
ในประเทศไอร์แลนด์โรงเรียนส่วนใหญ่ก่อตั้งโดยเอกชนแต่รัฐบาลเป็นผู้ให้เงินสนับสนุน และก็ยังมีโรงเรียนรัฐบาลและโรงเรียนอาชีวศึกษาด้วยเช่นกัน
- ประเทศไอร์แลนด์ให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามานานมาก ๆ แล้ว และปัจจุบันระบบการศึกษาของประเทศไอร์แลนด์ก็มีหลักสูตรมากมายที่เหมาะกับนักเรียน
- ไม่นานมากนี้มีการระบุว่าประเทศไอร์แลนด์เงินที่ใช้สำหรับระบบการศึกษาของประเทศไอร์แลนด์ ได้ลดลง ถึง 15% เป็นผลมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงินช่วงปี 2551 ถึง 2556 ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบการศึกษาของประเทศได้ในอนาคต
อันดับ 6 ประเทศกาตาร์
รายงานจากสำนักข่าว BBC ในปี 2555 ประเทศกาตาร์ที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันขนานใหญ่ กำลังลงทุนในระบบการศึกษาของประเทศเพิ่มมากขึ้น และยังช่วยสนับสนุนโปรเจคต่าง ๆ มากมายตั้งแต่สามัญชนระดับรากหญ้าไปจนถึงงานวิจัยชิ้นใหญ่ในระดับมหาวิทยาลัย
- รัฐบาลมีโครงการเรียนสำหรับเด็กที่มีสัญชาติกาตาร์ และเด็กนักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็จะเรียนในโรงเรียนเอกชน
- ประเทศกาตาร์มีการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา
อันดับ 5 ประเทศเนเธอร์แลนด์
จากงานวิจัยของ Unicef ในปี 2556 ได้ระบุว่า เด็ก ๆ ในประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลก ทำให้เห็นถึงระบบการศึกษาที่ดีของประเทศ ซึ่งนำหน้าประเทศอื่น ๆ ได้อย่างดี
- ระบบการศึกษาของประเทศเนเธอร์แลนด์ให้อิสระแก่โรงเรียน ในการจัดการศึกษาตามใจชอบอย่างเต็มที่ รัฐบาลจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องไม่แทรกแซงในเรื่องบริหารจัดการ ทั้งเรื่องการจัดการเรียนสอนของคุณครู จึงทำให้เกิดความหลากหลายในการสอนของแต่ละโรงเรียนต่าง ๆ
- การเรียนการสอนสามารถวิจารณ์การสอนได้ โดยจะให้คุณครูอีกคนมานั่งดูคุณครูที่กำลังสอนอยู่ และวิจารณ์การสอนได้ มีการปรึกษาซึ่งกันและกัน ถ้าการสอนไม่เหมาะสมก็จะได้มีการปรับแก้ให้ดียิ่งขึ้น
อันดับ 4 ประเทศสิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์ได้ทำคะแนนสูงมากในการสอบ PISA ซึ่งเป็นการสอบที่มีเป้าหมายเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาและเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
- ประเทศสิงคโปร์เริ่มมีการยกเลิกการสอบของเด็กที่เรียนในหลายระดับชั้น เนื่องจากเห็นว่าเด็ก ๆ ไม่มีความสุข มีความกังวนในเรื่องเกรด จึงไม่อยากให้การศึกษากดดันเด็กมากจนเกินไป
- ระบบการศึกษาของประเทศสิงคโปร์เข้มข้น และเอาจริงเอาจัง ในด้านการคิดวิเคราะห์ การสร้างสรรค์
อันดับ 3 ประเทศเบลเยียม
ทางโครงการ Fulbright จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ทำการจัดนักเรียนแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศเบลเยียมและลักเซมเบิร์กกล่าวว่า “การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และประเทศเบลเยียมก็ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญนี้ โดยงบประมาณแผ่นดินจะถูกนำไปทุ่มให้กับการศึกษามากที่สุด โรงเรียนจะมีให้เลือกทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน สำหรับเด็กตั้งแต่อายุ 4 ขวบไปจนถึง 18 ปี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรืออาจจะเสียเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
- ประเทศเบลเยียมมีการแบ่งประเภทของโรงเรียนมัธยมศึกษาออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ โรงเรียนมัธยมทั่วไป โรงเรียนเทคนิค โรงเรียนอาชีวะ และสถาบันศิลปะ
อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์มีคุณภาพการศึกษาที่สูงตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา จากผลการศึกษา PISA สวิสติดอันดับ Top 20 ของโลก รัฐแต่รัฐมีหน้าที่ดูแลการบริการทางศึกษา ทำให้การศึกษามีการแตกต่างกันไประหว่างรัฐ
- โรงเรียนเอกชนในสวิตเซอร์แลนด์มีนักเรียนเข้าศึกษาเพียงแค่ 5% เท่านั้น
- แต่ละโรงเรียนจะใช้ภาษาที่สอนต่างกันไป ขึ้นอยู่กับถิ่นที่อยู่
- ตั้งแต่ระดับชั้นมัธยมขึ้นไปเด็กนักเรียนจะถูกแบ่งให้เรียนตามความสารถและความถนัดของนักเรียนเอง
อันดับ 1 ประเทศฟินแลนด์
ประเทศฟินแลนด์ถือว่าเป็นประเทศที่ติดอันดับระบบการศึกษาดีมาโดยตลอด นักเรียนในประเทศฟินแลนด์จะถูกสอนเหมือนกัน เป็นการที่ไม่ได้มีการแบ่งตามความสามารถ ทำให้ไม่เกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างเด็กเก่งและเด็กไม่เก่ง
- ระบบการศึกษาประเทศฟินแลนด์ไม่ให้เด็กเรียนเยอะจนเกินไปต่อวันเรียนไม่เกิน 5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะเชื่อว่าเด็กควรได้ทำกิจกรรมที่ชอบ ดีกว่ามานั่งเรียนทั้งวัน
- จำนวนเด็กในชั้นน้อย เพื่อให้คุณครูดูแลเด็กทุกคนอย่างทั่วถึง ซึ่งมีห้องละ 12 คน และสูงสุดได้ไม่เกิน 20 คนต่อห้อง
- มีการสอบที่น้อยมาก ๆ เช่นไม่มีข้อสอบกลางในการวัดระดับ เชื่อว่าเป้าหมายคือการมอบความรู้ให้เด็กนักเรียนมากกว่าการสอบ
ทั้ง 11 ประเทศที่ติดอันดับระบบการศึกษาดีระดับโลกเห็นได้ว่าทุกประเทศนั้นให้ความสำคัญกับระบบการศึกษามาก ๆ ให้เด็กทุกคนได้เข้าถึงการศึกษาที่เป็นสิ่งสำคัญที่เด็กทุกคนควรจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน และเห็นได้ว่าแต่ละประเทศจะลงทุนในระบบการศึกษามาก ๆ ถ้าเด็กทุกคนได้รับการศึกษาที่ดีก็ยังสามารถทำให้ประเทศพัฒนาไปข้างหน้าได้อีกด้วย