ถึงเวลาปรับพฤติกรรมการเรียนรู้ของคนไทย ก้าวทันโลกใบใหม่หลังโควิด19

ในศตวรรษที่ 21 มีความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ เข้ามาอย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่า เรากำลังอยู่ใน “โลกแห่งความผันผวน” หรือบางคนเรียกว่า VUCA World ที่หมายความถึง Volatility โลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไว Uncertainty ความไม่แน่นอนในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบ Complexity ความซับซ้อน และ Ambiguity ความคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ส่งผลให้ใครหลาย ๆ คนต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ทั้งในด้านการทำงาน การเรียนรู้ การใช้เทคโนโลยี ไปจนถึงปรับเปลี่ยนทิศทางความฝันของตนเอง
การระบาดของไวรัสโควิด 19 ได้เพิ่มดีกรีความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิตยิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ สถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park เชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายด้าน มาเปิดมุมมองและให้แนวคิด ในกิจกรรม Re:learning for the Future 19 ความท้าทายใหม่ในโลกที่(ไม่)เหมือนเดิม เพื่อเตรียมรับมือกับโลกที่ไม่เหมือนเดิม โดยหนึ่งในประเด็นทที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมการเรียนรู้ของคนไทยในยุคหลังโควิด 19

เรียนรู้จากความไม่รู้ในโลกที่เปลี่ยนไว
เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่เรื่องราวใหม่ ๆ ในชีวิตที่เข้ามาทั้งโอกาสและวิกฤติ ทำให้เรารู้ตัวว่าเราไม่รู้ในเรื่องใด จะทำให้เราจะปรับตัวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงจนเป็นเรื่อง “ปกติใหม่” หรือที่เรียกว่า “New Normal”

คุณมิรา เวฬุภาค ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท Flock Learning ได้ให้มุมมองในการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง 3 อย่างคือ Relearn ยอมรับว่าเราไม่รู้ เราจะเริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ไปด้วยกันผ่านการสังเกตและการใช้เวลาร่วมกัน Release ปล่อยวาง สร้างพื้นที่ของการสื่อสาร การรับฟังอย่างใส่ใจ (Empathetic Listening) ใช้ใจในการรับฟัง และ Rerule สร้างข้อตกลงใหม่ร่วมกัน ทั้งการอยู่ร่วมกันภายในครอบครัวและการทำงาน
3 อย่างที่จะอยู่กับครอบครัวในสถานการณ์ผันผวน ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าอนาคตจะเกิดอะไรอีก อาจไม่ใช่แค่โรคระบาด แต่รวมถึงเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ เป็นโอกาสดีที่ใช้จังหวะนี้ในการ Rethink about learning อย่างแท้จริง

ติดอาวุธในการพัฒนาตนเอง
“การเรียนรู้ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่การเรียนรู้ในโรงเรียน หรือรั้วมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาไปเรื่อย ๆ เพื่อปรับตัวและเรียนรู้ตลอดชีวิต”

คุณกิตติรัตน์ ปิติพานิช ผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ TK Park ได้บอกเล่าการเรียนรู้วิชานอกตำราเพื่อติดอาวุธในการพัฒนาตนเองในทักษะที่สำคัญ 2 ประการหลัก ๆ คือ ประการแรก คือทักษะในการเรียนรู้และการปรับตัว เวลาเราเจอความท้าทายใหม่ ๆ หลายครั้งเราทำบนสัญชาตญาณเดิม แต่หากเรามีทักษะในการเรียนรู้และการปรับตัวเราจะมองที่หลักคิดและเปิดใจที่จะเรียนรู้ หาข้อมูลใหม่ ๆ คุยกับผู้คนเพื่อแก้ปัญหา รับฟังว่าสิ่งที่เขาประสบพบเจออยู่คืออะไรและสิ่งนั้นส่งผลอย่างไรกับชีวิตเขา

ประการที่สองคือ “ทักษะการคิด” ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาได้ อาทิ Design Thinking กระบวนการคิดเชิงออกแบบ หรือกระบวนการคิดในการแก้ปัญหา ออกแบบวิธีการหรือเครื่องมือ เพื่อตอบโจทย์ของปัญหานั้นและสร้างผลงานนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้ผู้คน Agile การปรับวิธีการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากการวางแผนและพัฒนาไปทีละนิด โดยมีการแบ่งซอยขอบเขตงานให้เล็กลงและพัฒนาต่อยอดในระยะถัดไป และ Analytical Thinking การคิดเพื่อจำแนกแยกแยะองค์ประกอบของข้อมูลต่าง ๆ ออกเป็นประเด็นย่อย ๆ เพื่อเข้าใจสาเหตุของปัญหาและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างเป็นระบบ
แก่นแท้ระหว่าง 2 ทักษะ คือ การทำความเข้าใจความต้องการของคน การเข้าใจผู้ใช้ผู้รับบริการ สิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก และควรเรียนรู้อย่างเร่งด่วน

พลิกสูตรใหม่ของการเรียนรู้
คุณอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC (South East Asia Center) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน ได้กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วงโควิด 19 ระบาด ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น แต่เกิดการเรียนแปลงทางการเรียนรู้ในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก 3 ประเด็นหลักที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้แก่

Just In Time เป็นคำใหม่ที่เกิดขึ้นหลังโควิด หลายคนเริ่มมองว่าตัวเองต้องเรียนเรื่องอะไรเพื่อพัฒนาศักยภาพชีวิตให้อยู่รอด แล้วจะทำอย่างไรให้เข้าถึงสิ่งนั้นได้อย่างรวดเร็ว หลังเกิดโควิดมีนวัตกรรมเกิดขึ้นมากมาย ต่างกับเมื่อ 5 ปีก่อนที่หลายองค์กรพยายามผลักดันนวัตกรรมต่าง ๆ แต่ไม่เกิดขึ้น พอเกิดโควิด คนในองค์กรทั้งเล็กและใหญ่กลับต้องการความรู้ใหม่ ๆ นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่สามารถทำอะไรออกมาอย่างเร็ว เพราะฉะนั้นคำว่า Just In Time คือเรียนแล้วเอาไปใช้ได้เลย เรียนวันนี้ เอาไปใช้พรุ่งนี้เลย ไม่ใช่การเรียนรู้แบบเก่าที่เรียนแล้วไม่รู้จะนำไปใช้เมื่อไหร่

Purpose Driven การเรียนรู้และการทำงานในปี 2020 กำลังเปลี่ยนไปอย่างที่ใครหลายคนอาจจะกำลังสับสน แต่สำหรับคนที่พอจับทางได้ ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่วัยทำงาน หรือผู้สูงอายุ สิ่งสำคัญที่ต้องทำคือ การเรียนรู้พร้อมกับพัฒนาตัวเอง เพราะความสามารถและทักษะใหม่ ๆ สำหรับโลกยุคนี้ คือสิ่งที่จะทำให้อยู่รอด ต่อได้ในอนาคตและสายอาชีพ
ในส่วนนี้คุณอริญญา ได้อธิบายเสริมว่า “Purpose Driven คือ สิ่งที่เราเคยเรียนมาอาจจะใช้ไม่ได้ เช่นเมื่อก่อนทำมาร์เก็ตติ้งมาแบบหนึ่ง วันนี้อาจต้องเข้าใจดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งอีกรูปแบบหนึ่ง Purpose Driven
ก็คือการเริ่มมองดูที่เป้าหมายหรืออนาคตและสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ มองไปไกลขึ้นอีกว่าตัวเรายังอยากอยู่ในอาชีพเดิมต่อหรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ แล้วจะปฏิบัติตัวอย่างไร เพื่อไปถึงวัตถุประสงค์นั้น

Truly Blended ปัจจุบันการเรียนรู้ของผู้คนเน้นไปที่ Truly Blended มากขึ้น ก็คือไม่ว่าจะเรียนแบบไหน เน้นการผสมผสานที่หลากหลาย โดยผู้คนเริ่มไม่หยุดอยู่นิ่งกับการเรียนรู้กับช่องทางเดิม ๆ และไม่เชื่อว่าการเรียนแบบเดียวจะเพียงพอ เพราะฉะนั้นรูปแบบการเรียนรู้ของคนยุคใหม่กำลังวิ่งไปสู่หลายๆ แบบ ผู้คนเริ่มขวนขวายให้เกิดซึ่งการเรียนรู้และนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้จริง ด้วยวิดีโอคลิป หรือ Visual ต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น Virtual Classroom (ห้องเรียนเสมือน), Webinar (สัมมนาออนไลน์), Simulations (การจำลองการเรียนการสอนรูปแบบใหม่) และ One-on-One Coaching (โค้ชตัวต่อตัว) เป็นต้น
การเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนไทยจึงเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วนควรร่วมมือกัน แต่เริ่มต้นได้จากตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้เพื่อการทำงาน การเรียนรู้เพื่อการปรับตัวใช้งานเทคโนโลยี รวมไปถึงการเรียนรู้เพื่อสุขภาวะและการอยู่ร่วมกัน ดังนั้นให้เราเปิดใจ เปิดโอกาส เปิดกว้างทางความคิดของตนเองและเรียนรู้ที่จะรับมือต่อความท้าทายใหม่ ๆ ตลอดชีวิต

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *