กสศ.รายงานสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาล่าสุด ประจำภาคเรียนที่ 2/2563 ชี้โควิด-19 ยังส่งผลกระทบครัวเรือนยากจนที่สุดอย่างต่อเนื่อง

ดร.ไกรยส  ภัทราวาท  รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (วสศ.) กล่าวว่า  จากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อจำนวนกลุ่มเป้าหมาย ของ กสศ. ในปีการศึกษา  2/2563 เพิ่มขึ้นกว่า 18% จากปีการศึกษา 1/2563 ซึ่งในปีการศึกษา 2/2563 มีนักเรียนยากจนพิเศษที่คัดกรองใหม่เข้ามา จำนวน 195,558 คน โดยกสศ.ให้การช่วยเหลือเด็กยากจนพิเศษแล้ว 1,173,752 คน
ทั้งนี้ จากข้อมูลล่าสุดพบว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษมีอัตราลดลง 5% โดยในภาคการศึกษา 2/2563 อยู่ที่ 1,021 บาท/เดือน ลดลงจากภาคการศึกษา 1/2563 ซึ่งอยู่ที่  1,077 บาท/เดือน  โดยแหล่งที่มาของรายได้ยังมาจากเงินเดือนและค่าจ้าง สวัสดิการจากรัฐ/เอกชน และการเกษตร

ดร.ไกรยส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการทำงานร่วมกับคุณครูทั่วประเทศกว่า 4 แสนคน ในสถานศึกษา 3 สังกัดคือ สพฐ. อปท.และตชด. เพื่อลงพื้นที่เก็บข้อมูลเด็กนักเรียนเป็นรายบุคคลทำให้ กสศ. มีข้อมูลเชิงลึกของครัวเรือนที่ยากจน 15% ล่างสุดของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งข้อมูลดังกล่าวไปให้กับหน่วยงานรัฐทั้ง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ​กระทรวงการคลัง เพื่อดำเนินมาตรการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ตลอดจนการนำข้อมูลไปให้หน่วยงานต้นสังกัดที่ดูแลนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น สพฐ. อปท. และ ตชด. ใช้ในการพิจารณาจ่ายเงินอุดหนุนรายหัวมากกว่า 1.7 ล้านคน

นางสาวธันว์ธิดา วงศ์ประสงค์ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมและทุนการศึกษา  กล่าวว่า สถานการณ์โควิดดิสรัปชัน (COVID Disruption) ส่งผลกระทบทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ  ทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง  โดยผลกระทบของเด็กนอกจากเรื่องการเรียนแล้วยังกระทบเรื่องสภาพจิตใจ ไม่มีค่าใช้จ่ายไปเรียน ไม่มีหน้ากากอนามัย โรงเรียนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง  ขณะที่ผลกระทบฝั่งของผู้ปกครอง จากการสำรวจพบว่า 60% ของผู้ปกครองมีรายได้ลดลง รวมทั้งมีสมาชิกในครอบครัวที่ต้องดูแลมากขึ้น และจำนวนมากต้องออกจากงาน   นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มผู้ปกครองที่สามารถปรับตัวได้ยังมีจำนวนน้อย ส่วนใหญ่ปรับตัวไม่ได้ต้องกลับภูมิลำเนา ที่ผ่านมากสศ.ได้เข้าไปช่วยเหลือภายใต้โครงการ “ทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน” ส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการ เกิดการรวมกลุ่ม ทำให้เขามีรายได้ที่สูงขึ้น โดยไม่ใช่ตั้งต้นจากหลักสูตร แต่เริ่มจากให้กลับไปสำรวจ ในหมู่บ้านว่ามีฐานทรัพยากรอะไร มีศักยภาพอะไร และค่อยพัฒนาส่งเสริมในสิ่งเหล่านั้นโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน 

การดำเนินโครงการยังพบว่าการที่พ่อแม่มีรายได้สูงขึ้นช่วยทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย จากกลุ่มตัวอย่างที่หนองสนิท 100 คน เป็นเพ่อแม่ของเด็กนักเรียนยากจนพิเศษ 30 คน จากเดิมที่ครอบครัวยากลำบากทำให้เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษามากขึ้น  การช่วยเหลือจึงต้องช่วยทั้งสองด้านทั้งช่วยพ่อแม่ และช่วยเด็กๆ โดยขณะนี้ทางกสศ.กำลังจะพัฒนาโมเดลช่วยเหลือเด็กออกจากความยากจนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเป็นนโยบายต่อไป  

และจากการประมวลสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาล่าสุด ยังพบว่า ประเด็นเร่งด่วนที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไขจากผลกระทบของการปิดเรียนจากภาวะวิกฤต COVID-19 โดยรองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า เด็กไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ “ม่านกั้นการเรียนรู้ (Pandemic Wall) หรือ ภาวะที่ต้องเจอโรคระบาด” เด็กจะเริ่มรู้สึกเหนื่อย เบื่อ จากการที่ชีวิตถูก Disrupt โดยโควิด-19  พร้อมกับเกิด “ภาวะสมองเต็ม” หรือ Cognitive Overload ซี่งเกิดจากสมองส่วน Working Memory เต็มเพราะความเครียดเกิดการเบื่อ ขาดสารอาหาร พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้สมาธิหาย เรียนไม่รู้เรื่อง หลายคนจึงมีปัญหาเรื่องการจัดการตัวเองโดยไม่รู้จะสื่อสารความรู้สึกกดดันวิตกกังวลออกมาอย่างไร ปัญหานี้ผู้ใหญ่จำเป็นต้องช่วยพูดคุยกับเด็ก ๆ ถึงความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 และควรเปิดพื้นที่ให้เด็กได้เล่าถึงความรู้สึก ความกังวล ของตัวเด็กที่เกิดขึ้นได้

พอล คอลลาร์ด นักการศึกษาผู้เชี่ยวชาญการจัดการศึกษาในภาวะวิกฤต และนักปฏิรูปการเรียนรู้ระดับโลก ผู้ก่อตั้ง Creativity, Culture and Education (CCE) กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์หลังเปิดเรียนเนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งต้องปิดเรียนไปเกือบ 3 เดือนเต็ม ดังนั้น การศึกษาจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น เปิดโอกาสให้โรงเรียนและผู้เรียนได้ร่วมกันมองหาวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละกลุ่ม โดยอาจมีทั้งการสอบหรือการวัดผลด้วยวิธีอื่นร่วมกัน เช่นการประเมินจากผลงานของนักเรียน เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางเลือกไหนที่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้วหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องช่วยหาทางออกสำหรับเด็กทุกกลุ่มร่วมกัน 

จากสถานการณ์ COVID-19 ทำให้เรารู้ว่ามีเด็กมากมายที่ยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี ดังนั้นการจัดรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย อย่างไรก็ตามเด็กอาจยังไม่เข้าใจวิธีการเรียนรู้ด้วยตนเอง เนื่องจากเขาไม่เคยได้รับการเตรียมตัวให้พร้อมมาก่อน  ทำให้เรามองเห็นโอกาสอีกมากที่จะได้มองและปรับปรุงหลักสูตรการเรียนการสอน และบทเรียนที่สำคัญเราได้เรียนรู้จากโควิด-19 ก็คือการปฏิรูปบ่มเพาะผู้เรียนให้เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง พึ่งพาตนเองในการเรียนรู้ให้ได้

 5 ข้อเสนอปลดล็อคปัญหา “ความเหลื่อมล้ำ”

อย่างไรก็ตามสำหรับแนวทางการแก้ปัญหานะยะยาว รองผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า กสศ.มีความตั้งใจจะนำบทเรียนนี้มาสู่การบูรณาการการทำงานทั้งครัวเรือน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนข้ามชั่วคน โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 5 ข้อเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำฯ ได้แก่ 1.บูรณาการข้อมูลสถานการณ์ความยากจนรายครัวเรือนระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและความยากจนในระยะยาว 2.บูรณาการงบประมาณและทรัพยากรระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและความยากจน ซึ่งปัจจุบันมีมาตรการแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศไทยมากกว่า 40 มาตรการที่สามารถทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายการแก้ไขปัญหาความยากจนที่ยั่งยืน 3.แก้ไขปัญหาความยากจนโดยใช้ครัวเรือนเป็นฐาน(Household-based Anti-poverty Intervention) ในการดำเนินการมาตรการต่อเนื่อง 5-10 ปี 4.แก้ไขปัญหาภาวะ COVID Slide และ Pandemic Wall ในประเทศไทย เพื่อป้องกันผลกระทบของ COVID-19 ต่อพัฒนาการของเด็กเยาวชนในระยะยาว และ 5.Build Back Better ข้อเสนอเชิงนโยบายเหล่านี้จะมีส่วนช่วยให้ประเทศไทยกลับมาสู่เส้นทางของการแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอย่างยั่งยืนได้ตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนแห่งวสหประชาชาติหรือ SDGs ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า   

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *