10 อันดับเรื่องเล่าผี ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง

ทุกสถานที่นั้น ล้วนมีตำนานและเรื่องเล่าสุดหลอนที่บอกต่อกันมา เพราะคนไทยกับเรื่องความเชื่อนั้นเป็นของคู่กันที่มีมาอย่างช้านาน  ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม บ้าน หรือถามถนนสายต่างๆ ล้วนมีเรื่องเล่าหรือตำนานที่แตกต่างกันออกไป ไม่เว้นแม้แต่ในสถานศึกษาอย่างมหาวิทยาลัย ซึ่งหลายคนทราบกันดีว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งนั้น ก่อตั้งมาแล้วหลายปีจึงมีเรื่องราวหลายอย่างเกิดขึ้น และแต่ละมหาวิทยาลัยนั้น ล้วนมีเรื่องเล่าหรือตำนานประจำมหาวิทยาลัย วันนี้ทาง Eduzones จึงจัดอันดับเรื่องเล่าและตำนานความหลอนในรั้วมหาวิทยาลัย จะมีที่ไหนบ้าง มาดูกันเลย

อันดับที่ 10 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ. หาดใหญ่ )

มอ. หาดใหญ่นั้น นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยแล้ว ยังเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดอีกด้วย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เรื่องความหลอนนั้น ไม่ต้องพูดถึง เพราะมีทั้งเรื่องเล่าหลอนๆของมหาวิทยาลัยบวกกับของโรงพยาบาล เรียกได้ว่าเป็นคู่คอมโบความหลอนกันเลยทีเดียวครับ

 ด้ายแดง  

ตึก MNL เป็นตึกสำหรับวิชากายวิภาคศาสตร์ (เป็นตึกเก็บร่างของอาจารย์ใหญ่) ว่ากันว่ามีนักศึกษาปีหนึ่ง พึ่งมาเรียนที่ตึกนี้ครั้งแรก ซึ่งห้องเรียนที่นักศึกษาคนนี้จะไปคือชั้น 5 จึงไปถามยามว่าลิฟต์ไปทางไหน ยามจึงบอกเส้นทางไปที่ลิฟต์ตามปกติ แต่นักศึกษาคนนั้นดันสังเกตเห็นว่า “ที่ข้อมือของยามคนนั้นมีด้ายสีแดงผูกอยู่” แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร พอเข้าไปในลิฟต์แล้วกดชั้น 5 แต่ลิฟต์ดันไปเปิดที่ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นที่ใช้เก็บร่างของอาจารย์ใหญ่ เขาก็ไม่ได้คิดอะไร

หลังจากเลิกเรียนลงมาก็ไม่เจอยามคนนั้นแล้ว และไม่เคยเจออีกเลย และเขาได้มารู้ทีหลังจากปากรุ่นพี่ว่า ที่ตึก MNL นั้น ไม่เคยมียามประจำการอยู่เลย และสิ่งที่ทำให้ช็อคไปกว่านั้นคือ

การผูกด้ายสีแดงที่ข้อมือนั้นคนเป็นเขาจะไม่ผูกกัน เพราะเป็นด้ายสำหรับผูกข้อมือของอาจารย์ใหญ่

แล้วยามที่นักศึกษาปี1 คนนั้นเห็นคือใคร….

 

อันดับที่ 9  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ(รังสิต)

มหาวิทยาลัยกรุงเทพนั้น ถือว่าไม่มีเรื่องเล่าผีในตัวมหาวิทยาลัยเลย แต่ความเรื่องเล่าหลอนนั้นจะอยู่รอบๆมหาวิทยาลัยเสียมากกว่า แต่ระดับความหลอนนั้นบอกเลยว่าเต็มสิบ

ศาลหอแกรนด์

เป็นเรื่องหลอนสุดฮิตของมหาวิทยาลัยกรุงเทพกันเลยทีเดียว ซึ่งตัวศาลที่ว่านั้นจะตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย ส่วนสาเหตุที่เรียกว่าศาลหอแกรนด์นั้น เพราะศาลนี้จะตั้งอยู่ที่หน้าหอแกรนด์คอนโด

ซึ่งหอแกรนด์เองก็หลอนไม่ใช่น้อย เพราะมีทั้งผีอิสลาม ผีชายร่างสูงใหญ่ตาแดง  แต่สิ่งที่หลอนไปกว่านั้นคือ จะมีแค่เด็กปี 1 ที่เข้ามาเรียนใหม่และไม่เคยได้ยิน หรือรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับศาลแห่งนี้มาก่อน

ซึ่งจากปากต่อปากของคนที่เคยพบเห็นศาลนี้จะเห็นศาลในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็เห็นเป็นศาลไม้เก่าๆ ผุๆพังๆบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นศาลปูนสีขาวใหญ่โต ซึ่งทุกคนที่เห็นจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า จะเห็นศาลนั้นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น พอเดินผ่านที่ตรงนั้นอีกครั้งก็ไม่เห็นศาลนั้นอีกเลย

ซึ่งเรื่องราวนี้ก็ถือเป็นเรื่องดังประจำมหาวิทยาลัย และมีการบอกเล่ากันปากต่อปาก ซึ่งในปัจจุบันยังอาจมีคนพบเห็นศาลนี้อยู่ก็เป็นได้

 

อันดับที่ 8 มหาวิทยาลัยรังสิต

มหาวิทยาลัยรังสิต นับเป็นมหาวิทยาลัยที่เรียกได้ว่ามีเรื่องเล่าผีเยอะที่สุดในกรุงเทพฯและปริมณฑลก็ว่าได้ จากข้อมูลที่ผู้มีสัมผัสทางวิญญาณท่านหนึ่งได้เคยอธิบายเอาไว้ บริเวณเมืองเอก (ชื่อสถานที่ตั้งของมหาวิทยาลัยรังสิต) มีลักษณะพื้นที่เป็นแอ่งกระทะ นัยว่าไม่ดีตามหลักฮวงจุ้ย

อีกทั้งยังเต็มไปด้วยบ้านถูกปล่อยทิ้งร้างไร้ผู้ดูแล (เช่นบ้านร้าง 9 หลัง และบ้านร้างบันไดแดงสุดโด่งดังของคนชอบลองของทั้งหลาย) ซึ่งผู้มีสัมผัสทางวิญญาณท่านนี้ก็ได้เล่าว่าบ้านร้างเหล่านี้เอง ที่จะเรียกพวกภูติ ผี สัมภเวสีเร่ร่อนมาอยู่อาศัย กลับมาเรื่องสยองของมหาวิทยาลัยรังสิตกันต่อ บอกได้เลย ว่าเยอะกว่าที่ไหน ๆ

 ห้องน้ำหญิง ตึก 5 (วิศวะฯ)

เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่ตำนาน แต่มันคือเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เมื่อนักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ถูกแฟนหนุ่มใหญ่ลากออกมาจากห้องสอบ (สาเหตุเพราะเรื่องหึงหวง) ฝ่ายชายลากฝ่ายหญิงเข้าไปเคลียร์กันในห้องน้ำ มีเสียงทะเลาะโวยวายกันได้สักพัก ฝ่ายชายจึงเอาปืนยิงฝ่ายหญิงก่อนที่จะยิงตัวเองตายตาม

ซึ่งในช่วงเกิดเรื่องใหม่ ๆ มีคนได้ยินเสียงทะเลาะกันแล้วตามด้วยเสียงปืนเวลาเดิมๆ แทบทุกวัน

(ว่ากันว่าคนที่ฆ่าตัวตายจะต้องติดอยู่ในลูป ทำเหตุการณ์ซ้ำตอนที่ตายเหมือนเดิมไปเรื่อย ๆ) ซึ่งห้องน้ำห้องที่ว่าปกติก็น่ากลัวอยู่แล้ว เพราะตั้งอยู่บริเวณทางสามแพร่ง แต่พอเกิดเรื่องขึ้นก็มีสายสิญจน์มาพันรอบๆ อีก จึงทำให้หลอนยิ่งกว่าเดิม

 

อันดับ 7 สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง

ซึ่งสถานศึกษาแห่งนี้เองก็ได้มีเรื่องเล่า ความเชื่อต่างๆ เกิดขึ้นอย่างมากมากมาย ด้วยเพราะที่นี้นั้นมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องหลอนถูกเล่ากันมารุ่นต่อรุ่นจนถึงปัจจุบัน

ศาลในห้องน้ำหญิง

เป็นเรื่องเล่าของศาลเพียงตาที่ติดอยู่บนผนังของห้องน้ำ ศาลที่ว่านี้เดิมตั้งไว้ที่คณะวิศวะฯ ตึกเอ ชั้น 5    โดยจะมีดอกไม้ธูปเทียนและน้ำแดงวางไว้อยู่เสมอ มีเรื่องเล่าว่ามีนักศึกษาสาว คณะสภาปัตย์ อกหักจากหนุ่มวิศวะฯ จึงไปผูกคอตายที่ห้องน้ำดังกล่าวนี้

และเพื่อให้วิญญาณของเธอสงบ จึงมีการสร้างศาลเพียงตาเอาไว้ หลังจากนั้นมาก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นหลายเรื่องด้วยกัน เรื่องเล่าของศาลในห้องน้ำก็มีหลายเรื่องที่ดังๆ ก็มีบริเวณที่ชั้น 5 มักจะได้ยินเสียงแปลกๆ หรือเห็นเงาคนเดินอยู่ แต่พอดูจริงๆ ก็ไม่มีใครเลย

บางคนเห็นนางรำ รำออกมาจากในศาล หรือมีคนเคยเล่าว่า หากใครไปเข้าห้องน้ำตอนดึกๆ จะเหมือนมีคนเข้าห้องน้ำห้องข้างๆ ด้วย

หรือไม่ก็ถ้าไปส่องกระจกในห้องน้ำห้องนี้ก็จะเห็นผู้หญิงคนที่เค้าผูกคอตายอยู่ด้านหลัง แต่ตอนนี้ศาลดังกล่าวได้ย้ายลงมาอยู่ด้านหลังคณะวิศวะฯ ตึกเอแล้วเป็นศาลใหญ่โต ชื่อศาลว่า “ศาลเจ้าแม่ศรีแพรทอง”


อันดับ 6. มหาวิทยาลัยบูรพา

มหาวิทยาลัยบูรพาเอง ก็มีเรื่องเล่าหลอนๆที่เล่าต่อกันมาไม่น้อย ซึ่งความหลอนนั้นก็เป็นที่พูดถึงกันทั้งภายในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัยกันอย่างกว้างขวาง

ห้องนี้เต็มแล้ว

ทุกคืนวันที่ 7 ข้ามไปวันที่ 8 ในเดือนกรกฎาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสถาปนาของ ม.บูรพา ซึ่งในวันที่  7 กรกฎาคม ว่ากันว่าจะเป็นคืนหลอนผีดุ นิสิตที่พักที่หอในมหาวิทยาลัย จะมีความเชื่อว่า รุ่นพี่ หรือผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยที่ล่วงลับไปแล้ว จะกลับมาเยี่ยมน้อง ๆ

เล่าต่อๆกันมาว่า ในคืนวันที่ 7 ห้ามออกไปไหน หรือถ้ามีใครมาเคาะประตูห้องห้ามเปิดเด็ดขาด เด็ก  ปี 1 จะมีคนเจอผี ในหอในบ้าง ห้องไหนเตียงว่าง เชื่อว่าจะมีผีไปนอนที่เตียงนั้น

ถ้าปี 1 ออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ก็จะเกิดอุบัติเหตุ มีคนเสียชีวิตทุกปี คนที่อยู่หอในจะเอาป้ายมาติดหน้าห้องว่า ห้องนี้เต็มแล้ว ตามความเชื่อว่า เต็มแล้วเข้าไม่ได้

และเรื่องเล่าความหลอนนี้จึงกลายเป็นความเชื่อและวัฒนธรรมของนิสิตใน มหาวิทยาลัยบูรพา รวมไปถึงนิสิตต่างชาติด้วย

อันดับที่ 5 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒก็เป็นอีกหนึ่งแห่งที่ตั้งมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่าด้วยกาลเวลาและผู้คนที่อยู่รวมกันมากมาย มักมีเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเป็นธรรมดารวมไปถึงเรื่องเล่าและตำนานความหลอนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้นั้น ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

 ผีชุดครุย

เรื่องเล่าจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ที่ตึกวิทยาศาสตร์เก่า มีชุดครุยชุดหนึ่งถูกแสดงไว้ในตู้กระจกที่บริเวณทางเดินของตึก ที่ตรงฐานของที่ตั้งชุดครุยมีพวงมาลัยเหี่ยวแห้งวางบูชาไว้อยู่

โดยเรื่องเล่าของชุดนี้มาจากเหตุการณ์ที่มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งเสียชีวิตในวันรับปริญญา และออกมาหลอกหลอนผู้คน จึงได้มีการนำชุดครุยของเธอมาวางไว้ที่ตึกเพื่อให้วิญญาณจะได้สงบ

 ตามเสียงเล่าลืออ้างว่าในช่วงที่นิสิตกลับบ้านดึกๆและต้องผ่านที่ตึกนี้มักจะเห็นคนใส่ ชุดครุย” เดินไปมาอยู่บนตึก ทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาที่ตึกปิดแล้ว และไม่น่าจะใช่ช่วงเวลาที่มีการเรียนการสอนรอบค่ำแต่อย่างใด เมื่อมีการไปถามอาจารย์หรือผู้ดูแลตึกก็ได้รับคำตอบว่าช่วงนั้นไม่ใช่ช่วงเทศกาลรับปริญญาแต่อย่างใด และไม่น่าจะมีใครมาใส่ชุดครุยเวลานี้ สร้างความประหลาดใจให้กับคนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก

จากการลองตรวจสอบเรื่องนี้พบว่า ต้นตอมาจากฟอเวิร์ดเมล์ฉบับหนึ่งก่อนที่จะมีการนำมาเขียนเป็นสตอรี่บนเว็บไซต์รวมถึงนำไปเล่าในรายการผีหลายรายการ แต่พอถามเด็กในมหาวิทยาลัยบางคนก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเล่าที่ว่านี้เลย

 

อันดับที่ 4 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(บางเขน)

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นสถานที่ที่ถ้าพูดถึงตำนานความหลอนต่างๆจะไม่พูดถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้เลย เพราะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีเรื่องเล่าและตำนานที่เล่าขานกันมารุ่นต่อรุ่นเยอะที่สุดอีกแห่งหนึ่ง

 Loving way

เรื่องผีแฝงความโรแมนติกแห่งมหาวิทยาลัยนี้ เป็นอีกเรื่องที่หากค้นหาหัวข้อเรื่องผีเกษตรศาสตร์จะต้องมีเรื่องนี้อยู่ในนั้นแทบจะทุกเว็บ

ซึ่งถนนเส้นนี้เด็กเกษตรฯ ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเชื่อว่าหากกลางวันหนุ่มสาวมาปั่นจักรยานซ้อนกัน ดวงชะตาก็จะนำพาให้ได้เป็นแฟนกัน

แต่หากมาปั่นกลางคืน โดยที่คนปั่นกับคนซ้อนนั่งหันหลังชนกัน เค้าว่าคนที่ซ้อนจะเห็นอะไรบางอย่างระหว่างปั่นอยู่ในถนนเส้นนี้ จึงถือเป็นเรื่องโรแมนติกที่นึกภาพตามหลอนกันเลยทีเดียว

อันดับที่ 3 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นับเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่น่าอยู่ที่สุดแห่งหนึ่ง แต่ด้านความหลอนที่เล่ากันต่อๆมานั้น ก็ยกให้เป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับต้นๆในเรื่องราวชวนขนลุกเช่นกัน

 ป๊อก..ป๊อก..ครืด

เรื่องเกิดกับนักศึกษาสาวคู่หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ประมาณ ชั้น 2 หรือ 3 ของหอหญิงเจ็ด ช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ นักศึกษาต่างกำลังอ่านหนังสือกันอยู่ ซึ่งนักศึกษาหญิงคนหนึ่งไม่สบาย อ่านหนังสือในห้องตอนหัวค่ำ แล้วเพื่อนร่วมห้องชวนไปทานข้าว แต่เพราะเป็นไข้อยู่ จึงไปไม่ไหวอยากพักผ่อน

พอเพื่อนคนนั้นเห็นเพื่อนไม่สบาย ด้วยความเป็นห่วงจึงบอกว่าเดี๋ยวไปทานข้าวเองก็ได้ แล้วจะห่อข้าวมา คนที่ไม่สบายจึงฝากซื้อราดหน้าแล้วขอบคุณเพื่อนไป

หลังจากที่เพื่อนออกไปจากห้องเธอก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านได้สักพักก็ไม่ไหวเพราะไข้ขึ้นจึงนอนพัก ตอนนอนอยู่นั้นสะลึมสะลือ แต่มีความรู้สึกว่านานมากแล้ว ทำไมเพื่อนยังไม่กลับมาซะที

ตกดึก ฝนเริ่มตกหนัก เธอก็ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือต่อ ในใจเป็นห่วงเพื่อน เพราะออกไปนานมากยังไม่กลับ สักพักเธอได้ยินเสียงเบาๆ ดังจากชั้นล่างจากทางบันได “ป๊อก….ป๊อก…ป๊อก” เสียงนั้นดังเป็นระยะๆ ใกล้เข้ามา จากทางบันไดดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงเหมือนคนกำลังแบกของหนักบางอย่างขึ้นมา และเสียงนั้นก็ดังมาจนถึงชั้นที่ห้องเธอ แล้วเสียงก็เปลี่ยนไปเป็นเสียง “ครืด” ยาวๆ เสียงเหมือนคนกำลังลากอะไรสักอย่างใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง

เธอเริ่มเอะใจ และมองไปทางประตู ในใจนึกว่าเพื่อนกลับมาแล้ว แต่ยังเงียบ อึดใจหนึ่งก็มีเสียงเคาะห้อง ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก  แล้วเงียบไป นักศึกษาสะดุ้งสุดตัว คิดว่าไม่ใช่เพื่อนแน่แล้ว ถ้างั้นทำไมไม่เปิดเข้ามาเลย จึงเดินไปเปิดประตู ตรงลูกบิดประตูมีถุงใส่ห่อราดหน้าแขวนอยู่ พอเห็นราดหน้า ก็งง แล้วเกิดความสงสัยว่าเพื่อนอยู่ไหน ทำไมไม่กลับมา หรือติดฝนเลยฝากคนอื่นเอามาให้ แต่แล้วก็แกะห่อราดหน้าแล้วทาน หลังจากนั้นก็ทานยาตามได้สักพักก็หลับไป

รุ่งเช้า มีคนมาเคาะห้องบอกว่าเพื่อนตายแล้ว นักศึกษาหญิงคนนั้นถูกฆ่าข่มขืน ตรงพงหญ้าข้างทาง คาดว่าเหตุเกิดประมาณหัวค่ำ ลักษณะศพสภาพแขนและขาทั้งสองข้างหัก อาจเกิดจากการที่คนร้ายเอาท่อนไม้ทุบตีเพื่อไม่ให้หนี

นักศึกษาหญิงที่ตายกำลังเดินทางกลับจากตลาดหลังจากทานข้าวเสร็จ เพราะทุกทีจะไปกับเพื่อน แต่เพื่อนไม่สบายจึงไปคนเดียว โดยเพื่อนฝากซื้อข้าวห่อ คนร้ายอาจเห็นว่าเป็นคนเดียวจึงลงมือ

แล้วราดหน้าเมื่อคืนล่ะ? ไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัด แต่จากที่ฟังกันมาคือ หลังจากที่ตายไปแล้ว ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนเพราะว่าไม่สบาย และยังหิว จึงนำห่อราดหน้าที่ซื้อมาฝากไปส่งให้แต่จะไปส่งยังไง แขนหัก ขาหักหมด

 แล้วลักษณะที่เขาเล่ามาคือ เพื่อนคนนั้นใช้ปากคาบถุง แล้วใช้คางเกยพาตัวเองมาจนถึงหอพักแล้วใช้คางเกยบันได ลากตัวเองขึ้นมา เป็นเสียง ป๊อก ป๊อก เสียง ครืดที่ได้ยิน คือเสียงลากตัวเองจากบันได มาจนถึงหน้าห้องปรากฏเป็นรอยเปียกน้ำยาวติดต่อกัน หลังจากส่งห่อราดหน้าให้ได้แล้วก็หมดห่วง

ตอนแรกทุกคนไม่เชื่อที่นักศึกษาคนนั้นเล่า แต่หลังจากที่นักศึกษาที่พักอยู่ข้างๆ ห้องยืนยันว่า ในคืนนั้นได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังยกของหนัก และลากของหนักจากข้างล่างขึ้นมา แล้วทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ

อันดับที่ 2 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มหาวิทยาลัยชื่อดังในภาคอีสาน   แน่นอนว่าตำนานและเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยขอนแก่นนั้นขึ้นชื่ออยู่แล้ว และบางเรื่องราวนั้นถูกเป็นที่พูดถึงไปทั่วประเทศ

 ตำนานสะพานขาว

 มีช่วงหนึ่งที่มหาลัยดังมาก เดิมสถานที่ตรงนั้นเป็นเพียงถนนเส้นหนึ่งภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งขับรถมอไซค์มาด้วยความเร็วมีใครไม่รู้เอาลวดสลิงไปขึงช่วงกลางสะพาน ทำให้คอผู้หญิงคนนั้นขาดแต่ผู้ชายยังไม่รู้ตัวว่าแฟนของตนตายแล้วเพราะตนยังก้มหน้าขับรถแบบคนขับรถเร็วทำให้ไม่โดนสลิง

เมื่อขับไปถึงปั้มน้ำมันพอจะลงจากรถจึงเห็นแฟนตัวเองคอขาด จากนั้นก็มีอุบัติเหตุหลายครั้งเกิดขึ้นบนสะพานขาว

จึงมีการอันเชิญซินแสมาทำพิธี ซินแสจึงบอกว่าให้ทำการสร้างเสาสะพานขึ้นเพื่อเป็นการไม่เหยียบหลุมศพซึ่งเป็นการลบหลู่ จึงเกิดเป็น  “ตำนานสะพานขาว” เกิดขึ้นนั่นเอง

และมีเรื่องเล่าว่า ชายคนหนึ่ง ขับรถเข้าไปใน ม.ตอนดึก ประมาณเที่ยงคืน ตี 1 เขาเปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยโดยเส้นทางที่จะเข้าไป ม. ต้องผ่านสะพานขาว พอใกล้ ๆสะพานขาวแล้ววิทยุเขาก็ดับไปเฉยๆ เขาก็เลยปิดวิทยุแล้วลองเปิดใหม่ เสียงเพลงที่ได้ยิน คือ ธรณีกรรแสง เขาเลยปิดวิทยุไปเสียเลยเพื่อตัดปัญหารถก็วิ่งไปเรื่อยๆ

แสงไฟหน้ารถส่องไปทางข้างหน้า เขาเห็นคนสองคนเดินอยู่ไม่ไกลมากนักแล้วเสียงเพลงธรณีกรรแสงก็ดังขึ้นมาอีก ก่อนที่รถเขาจะวิ่งถึงคนทั้งสองเครื่องยนต์ก็ดับ เขาเลยจอดรถ แต่เสียงเพลงยังดังอยู่ แล้วพอสองคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ เขาก็เห็นผู้ชายไม่มีแขน ส่วนผู้หญิงหิ้วหัวตัวเองอยู่ ทั้งคู่ยิ้มให้เขา ทั้งสองเป็นใคร? ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?

และมีเรื่องเล่าอีกว่า เมื่อประมาณ 20 กว่าปีผ่านมาแล้วสมัยนั้นมหาลัยมีสภาพเป็นป่าอยู่มาก และมีนักศีกษาในมหาวิทยาลัยน้อย  ได้มีหนุ่มคณะวิศวะคนหนึ่ง มีแฟนที่รักกันมากเป็นสาวคณะพยาบาล                ขี่มอเตอร์ไซค์มารับแฟนที่หอพักเป็นประจำ และกลับหอพักทางสะพานขาวดึกๆทุกวัน

มีอยู่คืนหนึ่ง ฝ่ายชายขับมอเตอร์ไซค์มารับแฟนที่หอพักไปเที่ยวในเมืองมีผู้ร้ายจ้องจะชิงทรัพย์ ทั้งคู่ถูกปล้น และตายทั้งคู่ (น่าจะเป็นเพราะผู้ร้ายขึงลวดสลิงไว้ ทั้งคู่จึงมีสภาพเช่นนั้น)เพราะเป็นการตายแบบที่เรียกกันว่า “ตายโหง” และสภาพการตายที่น่าอนาถ วิญญาณจึงเฮี้ยนมากวิญญาณของทั้งคูวนเวียนหลอกหลอนนักศึกษาและผู้คนทั่วไปที่ขับรถผ่านสะพานขาวเป็นประจำทางมหาลัย จึงได้ทำพิธีกรรม อัญเชิญอัฐิของทั้งคู่ฝังไว้ในเสาสะพาน โดยแยกไว้คนละด้านภายหลังมีพิธีรับน้องใหม่

โดยกลางดึกให้เฟรชชี่จับคู่ นับเสาสะพานมาจากคนละด้าน จะนับได้ไม่เท่ากันและว่ากันว่าถ้ากลั้นหายใจระหว่างที่นั่งรถข้ามสะพานไปจนสุดสะพานได้ โดยที่ไม่ผ่อนลมหายใจ จะอธิษฐานขอพรอะไรก็ได้ โดยเป็นความเชื่อที่เล่ากันมารุ่นสู่รุ่นจนมาถึงปัจจุบัน

อันดับที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ที่สุดของความหลอนและเรื่องราวโศกนาฏกรรม ถ้าจัดอันดับเรื่องความหลอนของมหาวิทยาลัยทั่วประเทศต้องยกให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้เกิดตำนานและเรื่องราวมากมาย และเรื่องเล่าสุดหลอนในมหาวิทยาลัยนั้นก็เป็นที่รู้จักอย่างมากในประเทศไทย

 ลิฟต์แดง

โศกนาฏกรรมที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ไทย เมื่อเช้ามืดวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (วันฆ่านกพิราบ) ขณะที่กลุ่มนักศึกษากำลังชุมนุมเพื่อยื่นข้อเรียกร้องทางการเมือง ทันใดนั้นก็มีเหล่าทหาร-ตำรวจ (กลุ่มผู้ปราบปราม) จำนวนมาก บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อกวาดล้างพวกนักศึกษาอย่างโหดเหี้ยม

 นักศึกษาผู้ไม่มีอาวุธจะใช้ต่อกร จึงทำได้แค่เพียงการหนีเอาตัวรอดเท่านั้น บางคนกระโดดลงน้ำว่ายหนีไปเพื่อเอาชีวิตรอด บางกลุ่มก็วิ่งเข้าไปหลบตามตัวอาคารภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งตอนนั้นมีนักศึกษากลุ่มหนึ่งหลบหนีเข้าไปอยู่ในลิฟท์ เป็นผู้หญิงทั้งหมด อัดในนั้นร่วม 10 คนโดยหวังจะเอาชีวิตรอดจากการไล่ล่า

ทว่าก็ไม่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้ เพราะทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก พวกเธอก็ถูกกระหน่ำยิงอย่างทารุณจนเสียชีวิตทั้งหมด เลือดสาดกระจายทั่วลิฟท์

ว่ากันว่าไม่ใช่แค่ในลิฟท์แห่งนี้เท่านั้นที่มีการตายมากมาย แต่หลายพื้นที่ในมหาวิทยาลัยก็พบว่ามีศพนักศึกษาถูกฆ่าตายจำนวนมากด้วย

ซึ่งก็อย่างที่ทราบกันว่าท้ายสุดทหารที่เข้าไปสังหารประชาชน ก็ไม่เคยมีใครต้องรับผิด ต่อเมื่อเหตุการณ์ยุติลง บ้านเมืองเริ่มกลับมาสู่สภาวะปกติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็กลับมาเปิดสอนอีกครั้ง เช่นเดียวกับลิฟท์แดงที่เคยมีนักศึกษาถูกยิงตายหมู่ก็ถูกกลับมาเปิดใช้อีกครั้ง โดยทาสีทับรอยเลือดเดิม

จากข้อมูลทราบว่าช่วงแรกเปลี่ยนเป็นสีขาว แต่วันต่อมาปรากฏว่ามีสีแดงซึมขึ้นมาบนสีขาวที่ทาลงไป ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นและหาคำตอบไม่ได้..จากนั้นจึงได้ทาสีแดงทับไป และถูกเรียกว่า   “ลิฟท์แดง”  นับจากนั้น

ทันทีที่ทางมหาวิทยาลัยกลับมาให้ใช้ลิฟท์ได้ตามปกติ ก็เริ่มมีผู้พูดถึงความสยองขวัญของลิฟท์ ทั้งจากนักศึกษาและอาจารย์ที่ต่างเคยได้สัมผัสเหตุการณ์อันชวนขนหัวลุกมาแล้ว

เริ่มตั้งแต่เสียงเล่าลือว่าในเวลากลางคืนลิฟท์จะขึ้นลงเองทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่บนตึก บางครั้งประมาณเย็นๆ ค่ำๆ หากใครขึ้นลงด้วยลิฟท์ตัวนี้ จะได้ยินเสียงประหลาด

หรือบางครั้งลิฟท์จะกระตุกอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือบางทีมีนักศึกษานั่งคุยกันตอนดึกๆ ก็เคยได้ยินเสียงผู้หญิงร้องดังแว่วมาจากอาคารคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ตรงที่มีลิฟท์ซึ่งในอดีตเคยเป็นที่สังหารหมู่นักศึกษา เสียงร้องดังออกมาว่า “ช่วยด้วยๆ” 

จนกระทั่งเคยมีเรื่องเล่าจากอาจารย์ที่ขึ้นไปบนตึกแล้วใช้ลิฟท์ตัวที่ว่า ซึ่งตอนนั้นลิฟท์จะมีกระจกบานใหญ่อยู่ โดยระหว่างที่ลิฟท์ขึ้นอาจารย์ผู้หญิงก็หยิบหวีขึ้นมาหวีผมที่หน้ากระจก แต่ปรากฎว่าอาจารย์ที่ไว้ผมสั้นแต่ในกระจกกลับกลายเป็นผมค่อยๆยาวขึ้น จากนั้นใบหน้าในกระจกก็เปลี่ยนไป ไม่ใช่หน้าตัวเอง อาจารย์จึงรีบวิ่งออกมา

โดยกระจกภายในลิฟท์แดงเวลานั้นมีการพูดถึงกันเยอะ เพราะบางทีมีนักศึกษาขึ้นไปคนเดียวแล้วมองผ่านกระจก พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่เพียงลำพังในลิฟท์ ครั้งหนึ่งเคยมีนักศึกษาชั้นปีที่ 2 มาขึ้นลิฟท์ เพื่อไปส่งรายงานคนเดียวในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เธอกดลิฟท์เพื่อไปชั้น 6 แต่ปรากฏลิฟท์มาเปิดเองที่ชั้น 3 ซึ่งช่วงที่เปิดเธอได้มองออกไปพบแต่ความว่างเปล่า แต่นักศึกษาสาวคนนั้นกลับรู้สึกได้ว่าเหมือนมีบางสิ่งเดินเข้าออกมาในลิฟท์ จนตัวลิฟท์ฟ้องว่าน้ำหนักเกิน พอเจอแบบนั้นเธอจึงตัดสินใจรีบวิ่งออกมาจากลิฟท์โดยไว เพราะแน่ใจว่าคงโดนแน่ๆ

หรือเคยมีนักศึกษาเล่าว่า ขณะที่กดลิฟท์จะขึ้นไปชั้นบน แล้วจู่ๆ ประตูลิฟท์ก็เปิดออกเอง พร้อมกับมีนักศึกษาเดินเข้ามาในสภาพตามเนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยเลือด

และจะด้วยสาเหตุใดไม่ทราบ อาจเพราะเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับความสยองขวัญซึ่งมีหนาหูขึ้นทุกวันๆ หรือไม่ก็เพราะเหตุผลที่ลิฟท์ตัวดังกล่าวถูกใช้งานมานาน จนดูสภาพผุพังไม่น่าปลอดภัย.. ช่วงนึงลิฟท์แดงจึงถูกปิดไม่ให้ขึ้น โดยได้มีการเอาไม้มาตีปิดไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทางมหาวิทยาลัยก็ได้กลับมาให้ใช้ลิฟท์อีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนลิฟท์ตัวใหม่ แต่ปล่องลิฟท์ยังคงเหมือนเดิม ลิฟท์แดงถูกถอดออกไปแล้วนำเฉพาะส่วนที่เป็นประตูลิฟท์ไปตั้งอยู่ที่หลังบันไดจากชั้น 4 ขึ้นไปชั้น 5 ของคณะศิลปะศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตาม ตำนานและความเชื่อของแต่ละมหาวิทยาลัยนั้น เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆกันมาเท่านั้น เพราะอย่างที่เราได้เกริ่นไปในช่วงต้นว่าเรื่องราวความเชื่อ และเรื่องราวลี้ลับต่างๆนั้น อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างช้านาน การจัดอันดับเรื่องเล่าผีในมหาวิทยาลัยชื่อดังที่ทาง Eduzones ได้จัดมาให้นั้นมีไว้อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้น เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเรื่องเล่าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ จึงควรใช้วิจารณญาณในการอ่านกันด้วยน้า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *